"การอบสมุนไพร"
เป็นการช่วยล้างพิษออกทางเหงื่อ ผิวหนังของคนเราจะเป็นส่วนที่กว้างที่สุด ดังนั้นการขับสารพิษส่วนเกินออกทางเหงื่อจึงได้ผลดีมาก เวลาที่ร่างกายทุกส่วนเกิดความร้อนขึ้นพร้อมกัน มันจะทำให้เส้นเลือดที่ผิวหนังขยายตัว เลือดก็จะพรั่งพรูกันขึ้นมาที่ผิวหนังเป็นจำนวนมาก พาเอาสารเคมีส่วนเกิน เช่น โซเดียม โปตัสเซียม หรือสารอื่น ๆ ที่เรารับเข้าไปเกินความต้องการนั้น ถูกหลั่งออกมากับเหงื่อและในเวลาเดียวกันนั้น "การอบสมุนไพร" นอกจากจะล้างพิษออกไปแล้ว เลือดที่มาเลี้ยงที่ผิวหนังมากขึ้น ยังช่วยนำพาสารอาหารที่ดี ๆ มาให้ผิวหนัง ผิวหนังจึงสวยขึ้นด้วย นอกจากนี้หาก "อบสมุนไพร" อย่างถูกวิธี จะทำให้อวัยวะทุกส่วนในร่างกายแข็งแรงสดชื่นและกระปรี่กระเปร่ายิ่งขึ้น ทั้งยังบรรเทาความเมื่อยล้า บำบัดความซึมเศร้าได้ดีอีกด้วย
สมุนไพรที่ใช้ควรมีครบทั้ง 4 กลุ่มคือ
กลุ่มที่ 1
สมุนไพรที่ใช้ในการอบสมุนไพร เพื่อสุขภาพและความงาม
สมุนไพรที่มีกลิ่นหอม กลุ่มนี้มีสารสำคัญที่ออกฤทธิ์เป็นน้ำมันหอมระเหย ซึ่งช่วยรักษาโรคต่าง ๆ เช่น โรคผิวหนัง ปวดเมื่อย หวัดคัดจมูก เวียนศีรษะ ตัวอย่างเช่น ไพล ขมิ้นชัน ผิวมะกรูด การใช้สมุนไพรสดควรเปลี่ยนถ่ายทุกวัน มิฉะนั้นอาจเน่าเกิดกลิ่นเหม็น แต่สมุนไพรแห้งอาจใช้ต่อเนื่องได้ 3-5 วัน
กลุ่มที่ 2
สมุนไพรที่ใช้ในการอบสมุนไพร เพื่อสุขภาพและความงาม
สมุนไพรที่มีรสเปรี้ยว กลุ่มนี้มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ ซึ่งช่วยชะล้างสิ่งสกปรก บำรุงผิวพรรณและเพิ่มความต้านทานโรคให้กับผิวหนังตัวอย่าง เช่น ใบมะขามไทย ใบส้มป่อย เนื้อมะขาม
กลุ่มที่ 3
สมุนไพรที่ใช้ในการอบสมุนไพร เพื่อสุขภาพและความงาม
เป็นสารประกอบที่ระเหิดได้เมื่อถูกความร้อนและมีกลิ่นหอม บำรุงหัวใจ ช่วยรักษาอาการหวัด คัดจมูก เช่น การบูร พิมเสน
กลุ่มที่ 4
สมุนไพรที่ใช้ในการอบสมุนไพร เพื่อสุขภาพและความงาม
สมุนไพรที่ใช้รักษาเฉพาะโรคและอาการ เช่น สมุนไพรแก้ปวดเมื่อยและบำรุงเส้นเอ็น ได้แก่ เถาวัลย์เปรียง เถาเอ็นอ่อน สมุนไพรใช้รักษาโรคผิวหนัง ผื่นคัน ควรใช้ เหงือกปลาหมอ เป็นต้น
วิธีการอบสมุนไพรด้วยตัวเองที่ถูกต้อง คือ การอาศัยไอหรือควันให้สัมผัสกับร่างกายผ่านทางผิวหนังและการหายใจ ซึ่งวิธีที่ทำให้เกิดไอขึ้นก็คือการต้ม ฉะนั้น สิ่งที่ต้องรู้และระมัดระวังในการอบสมุนไพรคือ
1.สถานที่ในการอบสมุนไพรต้องสามารถช่วยกักเก็บไอหรือควันเอาไว้ได้ อาจจะเป็นตู้หรือกระโจม แต่ที่สำคัญ คือ ต้องมีช่องทางในการระบายควันออกจากตู้หรือกระโจมด้วย
2.อุปกรณ์ที่ใช้ในการต้มสมุนไพรจะต้องไม่มีการจุดไฟ อาทิ เตาถ่าน เพราะการจุดไฟจะทำให้ออกซิเจนภายในตู้ หรือกระโจมลดน้อยลง แต่ควรใช้เตาไฟฟ้าซึ่งมีความปลอดภัยกว่าใช้งานแทน ทั้งนี้ ต้องมีความระมัดระวังในเรื่องของไฟฟ้าช็อตด้วย ส่วนวิธีที่ปลอดภัยที่สุด คือ การตั้งเตาไว้ภายนอกตู้หรือกระโจม แล้วต่อท่อเพื่อส่งควันเข้าไป แต่วิธีการดังกล่าวจะต้องมีการลงทุนสูง
3.ช่วงระยะเวลาในการอบสมุนไพร เนื่องจากการอบสมุนไพรจะต้องมีการสูดไอ หรือควันเข้าสู่ร่างกาย ดังนั้น ต้องมีการปรับร่างกายเสียก่อน โดยเฉพาะคนที่ไม่เคยอบสมุนไพรมาก่อนจะไม่มีความคุ้นชิน ไม่สามารถอบสมุนไพรเป็นระยะเวลานานได้ ซึ่งหลักเกณฑ์ที่กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ กำหนดไว้คือ ผู้ที่ไม่เคยอบสมุนไพรมาก่อน ไม่ควรอบนานเกินกว่า 5-10 นาที จากนั้นต้องออกจากตู้หรือกระโจมมาพักดื่มน้ำ แล้วจึงกลับเข้าไปอบสมุนไพรต่อ ส่วนผู้ที่มีความคุ้นชินแล้วควรอบประมาณ 15 นาที แล้วพัก แต่ที่สำคัญคือ ห้ามอบสมุนไพรนานเกินกว่า 30 นาที ภายในครั้งเดียว เพราะอาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้
และ 4.ผู้ที่ไม่ควรอบสมุนไพร ได้แก่ คนที่มีโรคประจำตัว อาทิ โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หอบหืด โรคไต โรคลมชัก และมีไข้สูงเกิน 38 องศาเซลเซียส เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
*หลังการอบสมุนไพรไม่ควรอาบน้ำทันที เพราะจะไปชะล้างตัวยาออกจากผิวหนัง และทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทัน และห้ามอบหากมีไข้ตัวร้อน
credit: นพ.สมชัย นิจพานิช อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก และ เยสสปาไทยแลนด์
หน้าที่เข้าชม | 3,634,228 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 1,848,149 ครั้ง |
เปิดร้าน | 16 เม.ย. 2557 |
ร้านค้าอัพเดท | 27 ส.ค. 2568 |
© ขอสงวนสิทธิ์เนื้อหาในเว็บนี้โดย บริษัท สมุนไพรท่าพระจันทร์ จำกัด ห้ามมิให้นำข้อความ รูปภาพ เนื้อหาใดๆในเว็บไซต์นี้
นำไปตีพิมพ์ หรือเผยแพร่ ก่อนโดยไม่ได้รับอนุญาต หากพบเห็นเราจะดำเนินการให้ถึงที่สุด