รู้หรือไม่ ? สมุนไพรบางชนิดห้ามกินกับยาแผนปัจจุบันเด็ดขาด
หลาย ๆ คนเลือกที่จะกินยาเพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ หรือเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ช่วยป้องกันโรคต่าง ๆ แต่บางคนก็เกิดอยากเลือกกินทั้งยาแผนปัจจุบัน และยาสมุนไพรทั้งที่จริงแล้วรู้หรือไม่!? ว่ามีพืชพรรณบางชนิดห้ามกินกับยาแผนปัจจุบันเด็ดขาด ทว่าจะมีชนิดไหนบ้าง แล้วห้ามกินกับยาแผนปัจจุบันอะไร เอาเป็นว่าเราอย่ารอช้าไปดูคำตอบเพื่อสร้างความเข้าใจกันดีกว่า
สมุนไพรชนิดไหน ห้ามกินคู่กับยาแผนปัจจุบันอะไรบ้าง?
มีรายงานผลวิจัยเกี่ยวกับการเลือกกินสมุนไพรร่วมกับยาแผนปัจจุบันที่บางชนิดไม่สามารถกินด้วยกันได้ และมีผลต่อสุขภาพร่างกายในทิศทางที่แย่ โดยพืชพรรณชนิดนั้นคือ
1. ชะเอม + ยาต้านการอักเสบสเตียรอยด์
ต้องทำความเข้าใจว่าชะเอมเป็นสมุนไพรที่พบได้ในกลุ่มยาแก้ไอ โดยที่จะสารออกฤทธิ์ที่ชื่อไกลเซอร์ไรซิน โดยจะจุดอยู่ในกลุ่มอาการท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยขับลม เป็นยาหอมที่ช่วยให้ร่างกายปลอดโปร่ง แต่ไม่สามารถนำมากินร่วมกับยาต้านการอักเสบสเตียรอยด์ได้ เพราะจะทำให้เกิดการกดภูมิ และเกิดแผลในกระเพาะอาหารได้
2. ขิง กระเทียม + ยาต้านการแข็งตัวของเกล็ดเลือด
ทั้ง 2 สมุนไพร ไม่ว่าจะขิงหรือกระเทียม มีสารเหมือนกันคือออกฤทธิ์ทำให้เลือดไหลเวียนดี ไม่แข็งตัว แต่เมื่อคุณกินร่วมกับยาต้านการแข็งตัวของเกล็ดเลือด หรือจัดอยู่ในกลุ่มวาร์ฟาริน (Warfarin) แล้วจะส่งผลต่อร่างกายทำให้เลือดไหลไม่หยุดได้นั่นเอง
3. สะระแหน่ + ยาลดความดันชนิดต้านแคลเซียม
สะระแหน่มักถูกนำมาทำเป็นน้ำมันหอมระเหย ซึ่งในใบจะมีฤทธิ์ที่ช่วยลดความดันเลือดได้ดี จึงไม่ควรนำมากินร่วมกับยาลดความดันชนิดต้านแคลเซียม (Calcium channel blockers) เพราะจะทำให้ความดันลดลงมากเกินไป และเกิดอันตรายต่อร่างกายถึงขั้นหมดสติได้
4. มะขามแขก + ยาขยายหลอดลม + ยาโรคหัวใจ + ยาขับปัสสาวะ
ปิดท้ายกันที่มะขามแขกที่บอกเลยว่าควรเลี่ยงกับการกินร่วมกับยาหลายชนิดมาก ไม่ว่าจะเป็นยาขยายหลอดลม + ยาโรคหัวใจ + ยาขับปัสสาวะ ด้วยสารที่ชื่อเซนโนไซด์ ที่ไปกระตุ้นการเคลื่อนที่ของลำไส้ ไม่ทำให้เกิดปัญหาท้องผูก พร้อมขับโพแทสเซียมในร่างกายออกหมดจด แต่หากใครใช้นานก็ส่งผลทำให้ร่างกายสูญเสียเกลือแร่ และน้ำได้ การกินร่วมกับยาเหล่านี้จึงเกิดโพแทสเซียมในเลือดต่ำ ปวดกล้ามเนื้อ หัวใจเต้นเร็ว และเป็นตะคริวซึ่งถือเป็นผลข้างเคียงของยาต่อร่างกาย
ก่อนที่เราจะเลือกกินสมุนไพรร่วมกับยาแผนปัจจุบัน จำเป็นต้องศึกษาข้อมูลให้ละเอียดเสมอเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากที่จะช่วยส่งเสริมกลับส่งผลเสียต่อร่างกายแทน ทั้งนี้ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนใช้เสมอ เพราะบางตัวยายังไม่มีรายงานที่แน่ชัด
