หลายเรื่องต้องรู้เกี่ยวกับมะขามแขก

ก่อนที่เราจะเริ่มต้นใช้งานหนึ่งในสมุนไพรอย่างมะขามแขกได้นั้น เราจำเป็นต้องศึกษารายละเอียดหลาย ๆ เรื่องที่ต้องรู้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจ และสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด และไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียง หรือเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ ซึ่งจะมีเรื่องไหน ข้อมูลเป็นอย่างไร ใครใคร่อยากรู้รีบตามเรามาทางนี้โดยด่วน

เรื่องต้องรู้ประโยชน์ – โทษของมะขามแขก

ประโยชน์ของมะขามแขกนั้นเราจำเป็นต้องรู้อย่างมาก เพราะจะมีส่วนช่วยในเรื่องของระบบขับถ่ายได้อย่างดีที่สุด อาการท้องผูกที่เคยเป็นหายได้อย่างไม่น่าเชื่อ โดยเฉพาะในส่วนของใบและฝักที่ออกฤทธิ์ได้ดี โดยใช้ปริมาณใบ 1 หยิบมือ หรือถ้าเป็นฝักก็จะได้ประมาณ 10 – 15 ฝัก โดยนำมาต้มกับน้ำประมาณ 4 นาที แล้วใส่เกลือลงไปเล็กน้อย แต่หากใครที่กินแล้วมีอาการมวนท้องเกิดขึ้นให้นำสมุนไพรอื่น ๆ อย่าง ขิง อบเชย กานพลูมาต้มเพื่อบรรเทาอาการได้ นอกจากเรื่องของลำไส้ จริง ๆ แล้วก็ยังช่วยเรื่องอื่น ๆ ได้ นั่นคือ การขับเสมหะ แก้ริดสีดวงทหาร ช่วยขับพยาธิ ฯลฯ

เรื่องต้องรู้กับการแปรรูปมะขามแขก

เผื่อว่าใครที่มีความคิดอยากแปรรูปมะขามแขกเอง พร้อมเก็บรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราขอแนะนำให้รู้จัก 2 วิธีหลัก ๆ ด้วยกัน คือ

-       นำใบมาผึ่งในที่ร่ม 2 – 4 วัน แล้วนำไปผึ่งแสงแดดอีกครั้ง 1 วัน เพื่อให้ใบแห้งสนิท แล้วก็นำไปตากแดด โดยดูแสงแดดแต่ละวันด้วยว่ามีปริมาณเท่าไหร่ เพราะควรทำให้ใบแห้งไว ๆ

-         กรณีที่มีเงินทุนให้นำใบไปอบในอุณหภูมิ 50 – 60 องศาฯ และอบที่ 8 – 12 ชม. ส่วนฝักให้เอาไปผึ่งแสงแดดประมาณ 4 – 6 ชม. แล้วผึ่งลมให้แห้งสนิท เท่านี้ก็นำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ อย่าง ผงชงน้ำร้อน บดใส่แคปซูล ฯลฯ

ส่วนการเก็บรักษา อยากแนะนำให้เอาใส่ภาชนะที่สะอาด มีฝาปิดสนิท ทั้งนี้ ไม่แนะนำให้เก็บไว้หลังแปรรูปแล้วเกิด 1 ปี เพราะปริมาณของสารสกัดต่าง ๆ รวมถึงประสิทธิภาพการบำรุงร่างกายจะลดลง ทำให้ออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มที่ แต่อย่างไรแล้วปัจจุบันผลิตภัณฑ์แปรรูปปัจจุบันมีหลากหลาย ทั้งแบบอัดเม็ด แบบแคปซูล แบบผง หรือสำเร็จรูปเป็นน้ำต่าง ๆ จึงตอบโจทย์ผู้บริโภคอย่างเรามากขึ้น ก็ไม่ต้องมาแปรรูปกันเอง

อย่างไรก็ดี มีข้อควรระวังในการใช้งานมะขามแขกที่ต้องรู้อยู่ด้วย โดยที่หญิงมีครรภ์ หรือกำลังให้นมลูกไม่แนะนำให้กิน เพราะถือเป็นยาระบายชั้นดี ไม่มีผลต่อน้ำนมแต่เสี่ยงที่จะเกิดขึ้นระหว่างให้นมลูกได้ ผู้ที่ปวดเกร็งท้อง ไส้ติ่งอักเสบ หรือลำไส้ส่วนล่างอักเสบไม่ควรกิน หรือใครที่จะใช้เป็นยาแก้ท้องผูกก็ไม่ควรกินติดต่อกันนานมากกว่า 2 สัปดาห์